วิเคราะห์สถานการณ์ของทั้งสองทีมระหว่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ เชลซี ก่อนทำศึกฟุตบอลสโมสรโลก รอบชิงชนะเลิศ คืนวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2025 ที่ เม็ทไลฟ์ สเตเดี้ยม สหรัฐอเมริกา

เอ็นโซ่ มาเรสก้า นายใหญ่ทัพ เชลซี ใช้แท็กติกเล่นเป็นขั้นตอน ไม่เร่งรีบ จัดผู้เล่นให้มีความหลากหลายในแผงแนวรุก ทั้ง ชูเอา เปโดร และ โคล พาลเมอร์ เพื่อสร้างโอกาสได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ หลุยส์ เอนรีเก้ หัวเรือใหญ่แห่ง เปแอสเช ยังคงมุ่งเน้นไปที่ทีมเวิร์คมากกว่าฉายแสงเพียงคนเดียว ใช้ระบบบุกทะลวงทีละจังหวะ

2. ฟอร์มทีมล่าสุด

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง รังสรรค์ผลงานได้อย่างร้อนแรงต่อเนื่อง ทั้งในเวที แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการไล่ถล่ม อินเตอร์ มิลาน ถึง 5-0 และสโมสรโลกด้วยการบดขยี้บรรดาทีมโหดอย่าง เรอัล มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างราบคาบ ส่วน “สิงโตน้ำเงินคราม” ฟอร์มดีต่อเนื่อง กวาดชัยได้ถึง 13 นัด จาก 15 นัดล่าสุด โมเมนตัมชัดเจน

3. ขุมกำลังของทีม

เชลซี จะได้ มอยเซส ไกเซโด ฟื้นตัวกลับมาพร้อมลงสนามได้แล้วและยังคาดว่าจะได้ประจำการเป็นหัวใจในแดนกลางได้ อีกทั้งยังได้ ลีวาย โคลวิลล์ และ เลียม เดอลาป ฟิตกลับมาช่วยทีมได้ ในขณะที่ เปแอชเช ยังจะขาดผู้เล่นในแรวรับอย่าง วิลเลี่ยน ปาโช่ และ ลูคัส เอร์นานเดซ เนื่องจากติดโทษแบน 2 นัด ซึ่งอาจส่งผลต่อสีสันในแผงแนวรับเล็กน้อย

4. ปัจจัยแวดล้อมของสนาม

สภาพอากาศของประเทศสหรัฐอเมริกา ย่ำแย่มาโดยตลอด ส่งผลกระทบต่อนักเตะไม่น้อย แน่นอนว่า ทางสนาม เม็ทไลฟ์ สเตเดี้ยม ในนัดชิงก็เช่นกัน สภาพอากาศมีความร้อนชื้น อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องพายุฝนและความร้อนในนัดที่ผ่านมา ทำให้ต้องเตรียมพร้อมร่างกายมากขึ้น

5. สถิติ และการพยากรณ์ของ Opta

จากการวิเคราะห์โดย Opta Supercomputer ฝั่งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ดูภาษีดีกว่า โดยมีโอกาสคว้าโทรฟี่นี้มาครองด้วยโอกาสสุงถึง 64.4% ในขณะที่ เชลซี ประเมินว่ามีโอกาสเพียง 35.6% อีกทั้งเปแอชเช ยังมีสถิติในการทำประตูดีกว่า จากการได้สกอร์แรกก่อนพักครึ่งมากถึง 10 ประตู ในรายการนี้ ในขณะที่เชลซีเองก็ถือสถิติที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือการไม่เสียประตูในช่วง 45 นาทีแรกให้กับใครเลยในเวทีสโมสรโลก เรียกได้ว่าเป็นการพบกันที่สูสีดุเดือดมากเลยทีเดียว

แม้ว่า ปารีส แซงต์ แชร์กแมง จะเป็นเต็งแชมป์ทีกำลังเต็มไปด้วยความร้อนแรง อาวุธครบครันและโครงสร้างทีมที่แข็งแกร่ง ทว่า เชลซี ก็ยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดี มีความมุ่งมั่น การเปลี่ยนโค้ชทำให้มีชั้นเชิงในเรื่องแท็กติก อีกทั้งประสบการณ์ในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็มีไม่น้อย แต่อาจจะต้องแบกความกดดันเล็กน้อยจากสถานการณ์ที่ทีมต้องขาดผู้เล่นบางรายและสภาพอากาศที่ย่ำแย่ที่อาจเป็นตัวแปร